ปัญหาที่พบบ่อย

ไม่พบข้อมูลที่ท่านต้องการ
ไม่พบข้อมูลที่ท่านต้องการ
วิธีเลือกเครื่องอัดอากาศ

                                           ปัจจัยสำคัญในการพิจารณาเลือกซื้อปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศ

แบ่งออกเป็น 9 ปัจจัยที่สำคัญ คือ
*แรงดัน *ปริมาณลม *ความจุ *สเป็คของแหล่งจ่ายไฟ *ข้อกำหนดในการปกป้องสิ่งแวดล้อม *วิธีการติดตั้ง *วิธีการทำความเย็น *ข้อกำหนดด้านเสียง *วิธีการควบคุมและข้อกำหนดด้านคุณภาพ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

► ปัจจัยที่ 1 : แรงดัน
แรงดันลม : ของปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศหน่วยเป็น กก./ซม.² (kg/cm²) วิธีการเลือกปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศนั้น อันดับแรกเราต้องทราบแรงดันที่เราต้องการใช้ก่อน แต่เราไม่สามารถนำตัวเลขแรงดันนั้นมาตัดสินใจในการเลือกซื้อเครื่องได้ทันที เพราะในระหว่างที่ปั๊มลมทำการอัดอากาศนั้น จะเกิดการสูญเสียอากาศบางส่วน ทำให้เราต้องเลือกปั๊มลมที่มีแรงดังสูงกว่าแรงดันที่เราต้องการใช้เสมอ
แรงดันในท่อ : การสูญเสียอากาศอัดในท่อคล้ายกับรถที่วิ่งบนถนน เมื่อถนนกว้าง ตรง และระยะทางสั้น มีทางโค้งน้อย สามารถลดเวลาการจราจรได้ โดยทั่วไปการสูญเสียอากาศ ของท่อจะอยู่ที่ประมาณ 0.5 กก./ซม.² นอกจากนี้อากาศอัดมักจะผ่านตัวกรอง เครื่องแลกเปลี่ยนความร้อนและเครื่องเป่าลมแห้ง และอาจทำให้เกิดแรงดันตกอื่นๆ อยู่ที่ประมาณ 0.3~0.5 กก/ซม²

► ปัจจัยที่ 2 : ปริมาณลม
ก่อนที่จะวิเคราะห์ปริมาณลม เราต้องแยกความแตกต่างระหว่างปริมาณลมที่อัดจริงและปริมาตรกระบอกสูบที่สามารถรองรับได้ก่อน
F.A.D. (Free air delivery) : หน่วยวัด เป็น ลิตร/นาที 
อัตราส่วนกำลังอัดลมจริง : โดยใช้เครื่องมือวัดปริมาณอากาศที่ส่งออกจากปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศ ด้วยวิธีการทดสอบมาตรฐาน
Displacementหน่วยวัด เป็น ลบ.ม/นาที
* การบีบอัดแบบขั้นตอนเดียว (Single Stage) จะคูณด้วย x 0.65
* การบีบอัดแบบสองขั้นตอน (Two Stage) จะคูณด้วย x 0.8
จะได้ค่าใกล้เคียงกับอากาศอัดที่เกิดขึ้นจริง ดังนั้นการเลือกปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศควรคำนึงถึงปริมาณการสูญเสียพลังงานในระบบอัดอากาศด้วย โดยใช้สูตรต่อไปนี้ :
(A) ปริมาณความต้องการในปัจจุบัน 100%)    
(B) ปริมาณการรั่วไหลของท่อที่เป็นไปได้ (10%)    
(C) แผนการขยายเพิ่มเติมในอนาคต (20%-50%)    
(D) ค่าเผื่อระยะขอบ (10%-30%)
สูตรในการเลือกปริมาณการสูญเสียพลังงานในระบบอัดอากาศหรือลมที่ต้องการ = (A+B+C) x (1+D)
เมื่อค่า C มากขึ้น ค่า D จะลดลง ดังนั้นมาตรฐานการวัดขึ้นอยู่ก้บ "ปริมาณอากาศหรือลมที่สูญเสียจริง"

► ปัจจัยที่ 3 : แหล่งจ่ายไฟ
มอเตอร์ที่ใช้ในปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศสามารถแบ่งออกเป็น 1เฟสและ3เฟส แยกตามแหล่งจ่ายไฟ
1เฟส : แรงดันไฟฟ้าปกติมี 110V, 220V มีความถี่ที่ 50 Hz เพื่อความสะดวกและปลอดภัย 110V สามารถใช้ได้กับปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศที่มีขนาดต่ำกว่า 1HP, 220V สามารถใช้ได้ที่สูงกว่า 1HP และแหล่งจ่ายไฟแบบ 1เฟสไม่เหมาะสำหรับเครื่องอัดอากาศที่มากกว่า 5HP
3เฟส : ส่วนใหญ่สามารถใช้กับปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศแรงดันไฟฟ้าทั่วไป ประมาณ 220V, 380V, 440V มีความถี่ที่ 50 Hz และมอเตอร์ที่ต้องใช้แรงม้าขนาดใหญ่

    ประเทศและภูมิภาคต่างกันมีแหล่งจ่ายไฟที่ไม่เหมือนกัน แรงดันไฟฟ้าที่ต่างกัน ความถี่ที่ต่างกัน และกฎระเบียบทางไฟฟ้าที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นก่อนซื้อปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศ จะต้องระบุแรงดันไฟฟ้า ความถี่ และจำนวนเฟสที่ต้องการใช้ให้ชัดเจน เพื่อให้ผู้ผลิตสามารถประกอบปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศ ติดตั้งอุปกรณ์ควบคุมไฟฟ้า ทดสอบแรงดันไฟฟ้าได้ตรงตามความต้องการอย่างปลอดภัย ก่อนใช้ปั๊มลม ควรตรวจสอบให้แน่ใจก่อนว่า แรงดันไฟฟ้าที่ต้องการนั้นตรงกับข้อมูลบนเนมเพลท (Name Plate) หรือ ป้ายบอกคุณสมบัติที่ปั๊มลมหรือไม่ 

► ปัจจัยที่ 4 : ข้อกำหนดด้านการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม
ปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศ สามารถแบ่งออกเป็น เครื่องอัดอากาศแบบใช้น้ำมันและเครื่องอัดอากาศแบบไม่ใช้น้ำมันตามโครงสร้าง ผู้ใช้สามารถเลือกซื้อตามความต้องการและการใช้งาน 
- แบบมีน้ำมัน : ปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศชนิดที่ต้องใช้น้ำมันหล่อลื่นในการหล่อลื่นภายในและใช้เติมในส่วนบีบอัดของตัวเครื่อง จะเรียกเครื่องชนิดนี้ว่าปั๊มลมชนิดมีน้ำมัน อากาศที่ผลิตขึ้นจะประกอบด้วยน้ำมันและก๊าซเล็กน้อย เหมาะสำหรับใช้ในอุตสาหกรรมทั่วไป แต่ปั๊มลมชนิดนี้สามารถติดตั้งตัวกรอง หรือ "Filter" เสริม เพื่อขจัดปริมาณน้ำมันได้ โดยทั่วไปหลังจากเครื่องจักรใหม่เริ่มทำงานไปแล้วซักระยะนึง จะต้องทำการเปลี่ยนน้ำมันหล่อลื่น และจะต้องเปลี่ยนเป็นประจำ หากเปลี่ยนอย่างผิดวิธี หรือเลือกใช้น้ำมันหล่อลื่นที่ไม่เหมาะสม จะทำให้ชิ้นส่วนภายในของปั๊มลมเสียหาย โปรดดูคู่มือสำหรับการเลือกใช้น้ำมันหล่อลื่นที่ถูกต้องและวิธีการบำรุงรักษา การเติมน้ำมันหล่อลื่นตามระยะเวลาที่กำหนด อุตสาหกรรมที่เหมาะกับการใช้ปั๊มลมชนิดนี้ ได้แก่ อุตสาหกรรมเหล็ก พลาสติก แม่พิมพ์ อุตสาหกรรมแปรรูป และการใช้งานด้านการผลิตทั่วไป โดยปกติแล้วปั๊มลมแบบน้ำมัน มักจะมีปัญหาเรื่องน้ำมันเสียที่ออกมา ปัญหามลพิษที่มาจากน้ำมัน ซึ่งทำให้ต้องมีเจือจางการอย่างเหมาะสม ที่เป็นไปตามข้อกำหนดของกฎหมายและข้อบังคับของการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม
- แบบไม่มีน้ำมัน : ปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศแบบไร้น้ำมัน หรือ “Oil Free” นั้น ใช้วัสดุที่หล่อลื่นแบบพิเศษที่สามารถหล่อลื่นด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องใช้น้ำมันหล่อลื่น ดังนั้นจึงไม่มีน้ำมันในอากาศ ซึ่งเครื่องจักรประเภทนี้สามารถตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมที่ต้องการอากาศอัดที่บริสุทธิ์ ปราศจากน้ำมันเจือปน ส่วนใหญ่ใช้ในอุตสาหกรรมที่ต้องการความแม่นยำ เน้นอากาศอัดที่สะอาดและปลอดภัยสูง เช่น การแพทย์ อาหาร เซมิคอนดักเตอร์ การเคลือบ และอุตสาหกรรมอื่น ๆ ปั๊มลมแบบไร้น้ำมันนี้ ไม่ก่อให้เกิดมลภาวะ และยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

► ปัจจัยที่ 5 : วิธีการติดตั้ง
สามารถเลือกปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศตามสถานการณ์และการใช้งาน
ประเภทเคลื่อนที่ได้ (Mobile Type) : ปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศขนาดเล็กเคลื่อนที่ได้ทั้งหมด โดยใช้ล้อสองล้อหรือสี่ล้อ เพื่ออำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายของผู้ใช้
ประเภทตั้งอยู่กับที่ (Fixed Type) : ปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศขนาดใหญ่ไม่เหมาะสำหรับการเคลื่อนย้ายเนื่องจากปริมาตรและน้ำหนักและความจำเป็นในการวางท่อแบบตายตัว เพื่อลดการสั่นสะเทือนระหว่างการทำงานและเสียงรบกวน

► ปัจจัยที่ 6 : ฟังก์ชั่นการทำความเย็น
ประโยชน์ของฟังก์ชั่นการทำความเย็น 
- ลดอุณหภูมิของเครื่องทำให้สามารถยืดอายุเครื่องและลดปริมาณการใช้น้ำมันลงได้
- ดูดความชื้นในขณะที่เครื่องจักรทำงาน เพื่อทำให้อุณหภูมิภายในเครื่องลดลง และยังทำให้เครื่องจักรทำงานได้เต็มประสิทธิภาพและมีความปลอดภัยมากขึ้น และสามารถป้องกันอุบัติเหตุที่เกิดจากความร้อนของเครื่องสูงเกินไปได้อีกด้วย

                                     วิธีการคลายความร้อนของปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศ สามารถแบ่งออกเป็น
- แบบระบายความร้อนด้วยน้ำ (Water-cooled) : ต้องติดตั้งระบบส่งน้ำหมุนเวียนเพื่อระบายความร้อน ใช้การไหลของน้ำเพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความร้อนระหว่างกระบอกสูบและท่อร่วมไอเสีย เป็นวิธีการกระจายความร้อนที่มีประสิทธิภาพสูง เหมาะสำหรับปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศขนาดใหญ่ที่ใช้แรงม้าสูง
- แบบระบายความร้อนด้วยอากาศ (Air-cooled) : ใช้กระแสลมเย็นที่เกิดจากพัดลมใช้เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความร้อน ระหว่างกระบอกสูบกับท่อไอเสีย ซึ่งเป็นวิธีการระบายความร้อนที่เรียบง่ายและสะดวกรวดเร็ว วิธีการกระจายความร้อนนี้เป็นวิธีการระบายความร้อนที่นิยมใช้ในสากล ใช้ได้ทั้งกับปั๊มลมขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ก็ได้

ข้อควรระวังในการติดตั้งปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศ
พื้นที่ที่เหมาะสมในการติดตั้ง ต้องคำนึงถึงระบบระบายอากาศที่ดีและมีพื้นที่เพียงพอ หลักการ คือ 
- ปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศแบบลูกสูบ จึงจำเป็นต้องเว้นระยะห่างระหว่างตัวเครื่องจักรและกำแพงอย่างน้อย 30 ซม.
- ปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศแบบสกรู ต้องมีระยะห่างระหว่างตัวเครื่องกับผนังอย่างน้อย 1 ม. และระยะห่างจากหลังคาอย่างน้อย 1.5 ม.

► ปัจจัยที่ 7 : ระดับเสียงที่กำหนด
เสียงของปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศมักจะเกิดจากหลากหลายปัจจัย เช่น การบีบอัดอย่างรวดเร็วของอากาศ และการหมุนเวียนของตัวเครื่อง เสียงของอากาศเข้าออก เสียงของกระแสลม เสียงการเสียดสี และ เสียงการทำงานของพัดลมระบายความร้อน เป็นต้น
- เสียงจากกระบวนการสร้างพลังงาน : เสียงจากการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้าหรือ เสียงขับเคลื่อนของเครื่องยนต์ภายในปั๊มลม
- เสียงจากความไม่สมดุลของตัวเครื่อง : เมื่อฐานของเครื่องจักรไม่สมดุล ซึ่งอาจเกิดจากการผิดผลาดในการติดตั้ง ทำให้เวลาเครื่องจักรทำงานตัวเครื่องและแผ่นโลหะเกิดการกระทบกันจนเกิดการสั่นสะเทือนและมีเสียงดัง
- เสียงจากการรั่วไหลของความดันลม : การรั่วไหลของท่อไอเสียและก๊าซแรงดันสูงจะทำให้เกิดเสียงดัง เนื่องจากวิธีการใช้งานและโครงสร้างของเครื่องจักรแต่ละรุ่นที่แตกต่างกัน ทำให้ระดับเสียงที่ผลิตจึงแตกต่างกัน
- ประเภทลูกสูบแบบเปิด : เสียงเกิดขึ้นจากการทำงานของลูกสูบที่ไม่ถูกปิดกั้นคลื่นเสียงจะกระจายสู่อากาศ แต่ถ้าปั๊มลมหรือเครื่องอัดอาการมีแรงม้าขนาดเล็กจะเกิดเสียงรบกวนไม่มากนัก จะไม่ค่อยส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ถ้าปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศที่มีแรงม้าสูงในขณะทำงานจะเกิดเสียงดัง ทำให้ต้องทำการเฝ้าระวังและการจัดการให้เหมาะสม
- ประเภทลูกสูบแบบกล่อง : แม้ว่าอะไหล่ภายในตัวเครื่องของเครื่องจักรประเภทนี้จะทำงานเหมือนกับรุ่นแบบเปิด แต่เนื่องกล่องเราทำการออกแบบพิเศษ จากแผ่นโลหะที่สามารถดูดซับเสียงได้ดี มีคุณภาพสูง กันกระแทกได้ ทำให้ช่วยลดการสั่นสะเทือนของตัวเครื่องและเสียงรบกวนได้มากเลยทีเดียว
- ประเภทสกรู : เนื่องจากโหมดการทำงานที่แตกต่างกันระหว่างเกลียวกับลูกสูบ เสียงที่ผลิตจึงแตกต่างกัน โดยทั่วไปแล้ว   
ประเภทเกลียวจะเป็นรูปทรงกล่อง และแผ่นโลหะใช้วัสดุดูดซับเสียงขั้นสูง วัสดุป้องกันการสั่นสะเทือน และการออกแบบฉนวนกันเสียงที่ปิดกั้นแหล่งกำเนิดเสียง ดังนั้น ค่าเสียงรบกวนมักจะต่ำกว่าเครื่องอัดอากาศประเภทลูกสูบ การป้องกันเสียงรบกวนนั้น สามารถทำได้เพียงลดระดับเสียงที่สูงเกินไปให้อยู่ในสภาพแวดล้อมการทำงานที่ยอมรับได้ โดยปกติแล้วเสียงจะต้องต่ำกว่า 75 เดซิเบล แต่ถ้าจากการพิจารณาการใช้งาน งบประมาณและไม่มีข้อจำกัดด้านสภาพแวดล้อมมากเกินไป ปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศที่เป็นระบบเปิด เป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมพอสมควร เนื่องจากราคาไม่สูงมากนัก แต่ถ้าคำนึงถึงคุณภาพชีวิตและสภาพแวดล้อมการทำงานที่ไม่มีเสียงรบกวน ปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศแบบกล่องเป็นตัวเลือกที่สามารถตอบสนองความต้องการได้มากกว่า

► ปัจจัยที่ 8 : วิธีการควบคุม
ท่านควรเลือกวิธีการควบคุมปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศ ที่เหมาะสมกับสภาพการใช้งานและปริมาณที่ต้องการใช้งานตามอุตสาหกรรมที่ของท่าน เพื่อให้เครื่องจักรของท่านได้รับแรงดันที่เหมาะสมตรงตามประสิทธิภาพการใช้งานและสามารถยืดอายุการใช้งานของเครื่องจักรได้อีกด้วย ควบคุมการทำงานของปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศของเรา แบ่งตามวิธีการใช้งานออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ การทำงานกึ่งอัตโนมัติและการทำงานอัตโนมัติเต็มรูปแบบ
- กึ่งอัตโนมัติ : เราใช้ระบบขนถ่ายอัตโนมัติเพื่อควบคุมการทำงานของปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศ หลักการทำงานของมันคือ เมื่อความดันอากาศของระบบเกินขีดจำกัดจากระบบที่ตั้งไว้ วาล์วระบายอากาศอัตโนมัติและถ้าความดันอากาศลดลง ระบบจะขับเคลื่อนลูกสูบอีกครั้ง
- อัตโนมัติเต็มรูปแบบ : ใช้สวิตซ์ควบคุมแรงดัน หรือ (Pressure Switch) ทำหน้าที่ในการควบคุมการทำงานของมอเตอร์ เมื่อความดันอากาศของระบบเกินขีดจำกัด มากกว่าแรงดันที่กำหนดไว้ สวิตช์รีเลย์จะดับ วงจรจ่ายไฟของมอเตอร์และปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศจะหยุดทำงาน เมื่อแรงดันของระบบลดลงต่ำกว่าขีดจำกัด สวิตช์รีเลย์จะเปลี่ยนอัตโนมัติ มอเตอร์และปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศจะกลับมาทำงานอีกครั้ง เพื่อนำอากาศที่อัดกลับคืนมา วิธีนี้เหมาะสำหรับการใช้งานต่อเนื่อง แต่ไม่บ่อยนัก และเหมาะกับตัวเครื่องที่มีแรงม้าน้อย ในการใช้งานจริงเราใช้แอพพลิเคชั่นในการควบคุม ดังนั้นต่อไปนี้ท่านจะสามารถทำให้การทำงานของปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศนั้นยืดหยุ่นมากขึ้น 
คำแนะนำ :
- การควบคุมการเลือกแบบเต็ม/กึ่งอัตโนมัติ เราแนะนำให้ท่านเลือกระบบควบคุมที่เหมาะสมกับสถานการณ์ที่ใช้จริง
- การควบคุมการแปลงอัตโนมัติแบบเต็ม/กึ่งอัตโนมัติ - ระบบควบคุมไมโครคอมพิวเตอร์สามารถเลือกโหมดการควบคุมได้โดยอัตโนมัติตามสภาวะการทำงาน

► ปัจจัยที่ 9 : ข้อกำหนดด้านประสิทธิภาพ
ปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศประเภทต่าง ๆ มีข้อกำหนดด้านประสิทธิภาพที่แตกต่างกัน เนื่องจากการออกแบบโครงสร้าง แรงดันใช้งาน การแทนที่ และจำนวนขั้นตอนการบีบอัดของเครื่องจักรแต่ละประเภทนั้นมีความแตกต่างกัน
- แรงดันต่ำ แรงม้าต่ำ : ส่วนใหญ่เลือกปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศแบบลูกสูบ
- แรงดันต่ำกว่า 10 HP : จำเป็นต้องลดเสียงรบกวน สามารถเลือกปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศประเภทการสกรูหรือประเภทกล่อง
- แรงดันสูงกว่า 12 HP : ควรเลือกปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศชนิดลูกสูบแรงดันสูงหรือแบบการอัดอาการแบบสองขั้นตอน
- แรงดันสูงกว่า 20 HP : ควรเลือกปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศแบบสกรูหรือแบบระบายความร้อนด้วยน้ำ
 

 

TIPS ! การเลือกขนาดของถัง (Air Receiver Tank) ที่เหมาะสมกับปริมาณลมที่ใช้ 
Tips! แนะนำการเลือกขนาดของถังลม (Air Receiver Tank) ที่เหมาะสมกับปริมาณลมที่ใช้
ถังเก็บลม หรือ (Air Receiver Tank) 
ทำหน้าที่เก็บลมอัดหรืออากาศอัด เพื่อเตรียมจ่ายลมอัดไปยังอุปกรณ์หรือเครื่องจักรที่ใช้ในกระบวนการผลิต ถังลมจึงมีประโยชน์อย่างมากในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของกระบวนการผลิต ได้แก่
1. การช่วยให้แรงดันลมภายในระบบคงที่ 
2. ป้องกันปัญหาแรงดันตก (Pressure Drop) เวลาที่เครื่องจักรต้องใช้ลมในจำนวนมาก
3. ช่วยให้ปั๊มลมเครื่องอัดอากาศ (Air Compressor) ไม่หยุดทำงานหรือทำงานอัตโนมัติ (Start – Stop) บ่อยเกินไปหากมีแรงดันที่ไม่คงที่
4. ช่วยลดความชื้นในลมอัด เมื่อความชื้นนั้นมีการกลั่นตัวเป็นหยดน้ำจะตกลงสู่ก้นถังและถ่ายออกจากระบบลมอัดอีกด้วย
5. ช่วยยืดอายุการใช้งานของปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศ

ขนาดของถังลมมีผลกับปริมาณลมหรือไม่ ?
1. ถังลมที่มีขนาดเล็กเกินไป แรงดันในระบบจะเกิดความไม่เสถียรไม่คงที่ ซึ่งจะทำให้ปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศ (Air Compressor) มีการทำงานหรือหยุดทำงานบ่อย (Start-Stop) ทำให้เกิดสภาวะแรงดันตก ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการสึกหรอของปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศ แถมยังเป็นการการสิ้นเปลืองพลังงาน (Energy waste) อีกด้วย
2. ถังเก็บลมที่ใหญ่เกินไป จะทำให้ปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศ มีการทำงานหนักเกิดความจำเป็นต่อการใช้ลมในระบบ เมื่อเทียบกับปริมาตรโดยรวมของการใช้งาน ถังเก็บลมที่มีขนาดใหญ่จะมีต้นทุนการผลิตที่สูงกว่า

ในความเป็นจริง การเลือกถังลมขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลายส่วน ไม่ว่าจะเป็นขนาดของท่อลม กำลังการผลิตของลมอัด ที่สำคัญ คือ อัตราการไหลของลมอัด และขนาดกำลังของปี๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศ ที่จะเราจะนำมาคำนวณความจุของถังลมที่เหมาะสม

  
  กฎโดยทั่วไป : 1 cfm ต่อถัง 1 gallon (3.8 liter)
  เช่น ปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศขนาด 1000 cfm ควรใช้ถังขนาด 3800 liter เป็นต้น
ตารางขนาดของ Receiver Tank ที่เหมาะสมกับปริมาณลมที่ใช้
Airflow Capacity Recommended Receiver Volume
(ความสามารถในการรับปริมาณลม) (ขนาดถังลมที่แนะนำ)
(cfm) ลบ.ฟ : นาที (m3/h) ลบ.ม : ชม. (cu ft) ลบ.ฟ (gal) (m3) ลบ.ม
100 170 13 100 0.4
200 340 27 200 0.8
300 510 40 300 1.1
400 680 54 400 1.5
500 850 67 500 1.9
750 1275 101 750 2.9
1000 1700 134 1000 3.8
1500 2550 201 1500 5.7
2000 3400 268 2000 7.6
3000 5100 402 3000 11.4
4000 6800 536 4000 15.2
5000 8500 670 5000 19.0
7500 12750 1005 7500 28.5
10000 17000 1340 10000 38.0

 

 

ไม่พบข้อมูลที่ท่านต้องการ
ไม่พบข้อมูลที่ท่านต้องการ
หลักการทำงานและประโยชน์ของเครื่องทำลมแห้ง (Air Dryer)

                                                            หลักการทำงานและประโยชน์ของ Air Dryer

หลักการทำงานและประโยชน์ของเครื่องทำลมแห้ง (Air Dryer)  โดยปกติลมที่ถูกผลิตจากปั๊มลมหรือเครื่องอัดอากาศนั้น มักจะมีน้ำและความชื้นปะปนมาด้วยเสมอ AirDryer จึงเป็นตัวที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญคอยทำหน้าที่ในการลดปริมาณน้ำและความชื้นที่ปนมาในระบบ ซึ่งจะทำให้ได้ลมที่มีความแห้งและบริสุทธิ์ได้คุณภาพในระบบอัดอากาศ พร้อมที่จะนำไปใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ 
 

                                                         
                                                             เครื่องทำลมแห้ง Air Dryer มี 2 ประเภท คือ

1. Refrigerated Air Dryer (เครื่องทำลมแห้งแบบใช้น้ำยาทำความเย็น) Air Dryer ประเภทนี้จะใช้ความเย็นทำให้น้ำในอากาศกลั่นตัวออกมาเพื่อลดความชื้นลง หลักการทำงานของ Refrigerated Air Dryer นั้นมีความคล้ายคลึงกับเครื่องปรับอากาศที่ใช้ตามบ้านโดยจะมีคอยล์เย็นและคอยล์ร้อน โดยคอยล์เย็นในเครื่องทำลมแห้ง (Air Dryer) นั้นจะทำหน้าที่ทำให้ลมที่ผ่านมามีอุณภูมิลดลงและเกิดการกลั่นตัวของน้ำในอากาศ

2. Desiccant Air Dryer (เครื่องทำลมแห้งแบบใช้เม็ดสารดูดความชื้น) การใช้สารดูดซับความชื้นที่มีประสิทธิภาพ เป็นสารดูดซับที่มีตะแกรงโมเลกุลและอลูมินา เพื่อใช้เติมเครื่อง Air Dryer เพื่อดูดซับน้ำและความชื้น ในสัดส่วนที่เหมาะสม เพื่อรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นของความดันและปริมาณน้ำของอากาศอัด เพื่อให้ได้อากาศคุณภาพตามที่กำหนดไว้ มีลักษณะคล้ายสิ่งที่อยู่ในถุงดูดความชื้นในขนมหรือผลิตภัณฑ์ต่างๆ โดยที่มีปริมาณมากจนสามารถทำ pressure dew point ได้ตั้งแต่ -20 ถึง -70 องศาเซลเซียส เลยครับ ซึ่งจะทำให้คุณภาพลมที่ออกมา จัดเป็นลมที่มีความแห้งสูงเป็นพิเศษ เหมาะกับอุตสาหกรรมที่ต้องการลมที่แห้งมากๆ เช่น อาหาร ยา เครื่องสำอางค์  เป็นต้น 

หน้าที่ของตัวกรองอากาศ (Air Filter)

                                                              Tips การเพิ่มลมให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้นด้วย Air Filter

   โดยปกติแล้วอากาศที่ผ่านเข้าไปในเครื่องอัดอากาศนั้นไม่ได้สะอาด ไปกว่าอากาศที่อยู่ภายนอกทั่วไป อากาศดังกล่าวจึงมีทั้งฝุ่น ละออง และไอระเหยต่างๆ ที่ปะปนอยู่จำนวนมาก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อกระบวนการผลิตและตัวผลิตภัณฑ์ ที่สำคัญคือ จะทำให้เป็นอันตรายต่อเครี่องจักรและอุปกรณ์อื่นๆ
   ด้วยเหตุนี้ทำให้ 
#ตัวกรองอากาศ หรือ #AirFilter เข้ามามีบทบาทสำคัญในระบบการกรองอากาศมากขึ้น เพราะนอกจากจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในระบบอัดอากาศแล้ว ยังช่วยยืดอายุการใช้งานให้กับเครื่องจักรและอุปกรณ์อื่นๆ และยังทำให้ได้อากาศอัดที่มีคุณภาพอีกด้วย และไส้กรองนั้นมีหลายชนิดด้วยกัน แบ่งออกตามหน้าที่ของการทำงาน ดังนั้นการเลือกไส้กรองให้เหมาะสมกับการใช้งานนั้นก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน เพราะการใช้งานระบบอัดอากาศในอุตสาหกรรมแต่ละประเภทนั้นมีความต้องการอากาศอัดที่แตกต่างกันออกไป

   ชนิดของไส้กรอง
1. ไส้กรองอากาศ (ARF) สามารถกรองฝุ่นได้ละเอียดถึง 1 µm
2. ไส้กรองน้ำมัน (ARB) สามารถกำจัดไอน้ำมันได้ละเอียดถึง 1 µm
3. ไส้กรองระดับอนุภาค (ARA) สามารถกรองฝุ่นขนาดเล็กได้ละเอียดถึง 0.01 ppm
4. ไส้กรองคาร์บอน (ACA) สามารถกรองละอองน้ำมันขนาดเล็กและกลิ่นได้ละเอียดถึง 0.003 ppm

   ระบบฟอกอากาศ
 ถังบรรจุอากาศ > ตัวกรองอากาศหลัก (น้ำและเศษฝุ่น) > ตัวทำลมแห้ง > ตัวกรองน้ามั้น (กำจัดน้ำมัน) > ตัวกรอง (ฝุ่นขนาดเล็ก)
 > ตัวกรองคาร์บอน (กรองน้ำมันและกลิ่น)

"Pressure Switch" มีความสำคัญและหลักการทำงานอย่างไร

     "Pressure Switch" มีความสำคัญและหลักการทำงานอย่างไร
     
 
     "Pressure Switch" คือ อุปกรณ์ที่ใช้ในการควบคุมระบบเมื่อความดันเกิดความเปลี่ยนแปลงสูงกว่าหรือต่ำกว่าระดับความดันเกณฑ์ที่ตั้งไว้ นิยมใช้มากในระบบควบคุมความดันของหม้อไอน้ำ ปั๊มน้ำ ปั๊มลม ฯลฯ ถือว่าเป็นอุปกรณ์ความปลอดภัยชนิดหนึ่ง นอกเหนือไปจากวาวล์ระบายความดัน ฯลฯ Pressure Swtich มีประโยชน์ในการใช้ควบคุมความดันไม่ให้สุงเกินไปจนถึงขีดอันตราย นอกจากนั้นยังช่วยประหยัดพลังงานด้วยเช่น เชื้อเพลิงที่ใช้ในการเผาไอน้ำ พลังงานไฟฟ้าที่ใช้ในการขับมอเตอร์ปั๊มน้ำ ฯลฯ

     ► หลักการทำงานของ Pressure Switch
"Pressure Switch" มีองค์ประกอบการตรวจจับต่างจากเกจวัดแรงดัน เช่น กลไกสวิตช์ และการเชื่อมต่อทางไฟฟ้า องค์ประกอบการตรวจจับ โดยปกติจะเป็นไดอะแฟรมหรือลูกสูบ เปลี่ยนรูปภายใต้อิทธิพลของการเปลี่ยนแปลงของความดัน (Pressure) เมื่อแรงดันถึงจุดหนึ่ง กลไกสวิตช์จะทำงาน และหน้าสัมผัสทางไฟฟ้าจะเปิดหรือปิด ขึ้นอยู่กับการออกแบบ การเปลี่ยนแปลงสถานะการติดต่อนี้สามารถใช้เพื่อควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ เช่น ปั๊ม มอเตอร์ วาล์ว สัญญาณเตือน และอื่นๆ

      ประเภทของ Pressure Switch
"Pressure Switch" มีการทำงานอยู่ 2 แบบ คือ แบบ Mechanical pressure switch และ Electronic pressure switch สวิตช์แรงดันเชิงกลโดยทั่วไปจะมีราคาถูกกว่าสวิตช์แรงดันอิเล็กทรอนิกส์ แต่ก็มีความแม่นยำและเชื่อถือได้น้อยกว่าเช่นกัน สวิตช์แรงดันอิเล็กทรอนิกส์มีราคาแพงกว่า แต่มีความแม่นยำ ความน่าเชื่อถือ และความสามารถรอบด้านมากกว่า

  • Mechanical pressure switch: ใช้องค์ประกอบเชิงกลเพื่อตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของแรงดันและสั่งงานสวิตซ์
  • Electronic pressure switch: ใช้เซ็นเซอร์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของแรงดันและสั่งงานสวิตซ์

     ประโยชน์ของการใช้ Pressure Switch
  • การเพิ่มประสิทธิภาพความปลอดภัย สวิตช์แรงดันช่วยรักษาสภาพการทำงานที่ปลอดภัยโดยป้องกันความล้มเหลวของอุปกรณ์ สถานการณ์แรงดันเกิน และอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น
  • การเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการ ด้วยการควบคุมระดับแรงดันอย่างแม่นยำ สวิตช์แรงดันช่วยปรับกระบวนการให้เหมาะสม ปรับปรุงประสิทธิภาพ ลดการใช้พลังงาน และลดเวลาหยุดทำงานให้เหลือน้อยที่สุด
  • การป้องกันอุปกรณ์ สวิตช์ความดันทำหน้าที่เป็นมาตรการป้องกันอุปกรณ์ ป้องกันความเสียหายเนื่องจากแรงดันมากเกินไปหรือสภาวะการทำงานที่ผิดปกติ
  • ประหยัดค่าใช้จ่าย การควบคุมแรงดันอย่างมีประสิทธิภาพจากสวิตช์แรงดันส่งผลให้ประหยัดต้นทุนโดยการลดการสูญเสียพลังงาน ยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ และลดความต้องการในการบำรุงรักษาให้เหลือน้อยที่สุด

     การเลือก Pressure Switch
    เมื่อเลือก "Pressure Switch" สำหรับการใช้งานเฉพาะ ควรพิจารณาปัจจัยหลายประการ ได้แก่
  • ช่วงแรงดัน (Pressure Range) ตรวจสอบให้แน่ใจว่าสวิตช์แรงดันสามารถรองรับช่วงแรงดันที่ต้องการได้ โดยไม่เกินขีดจำกัดการทำงาน
  • ความแม่นยำและการทำซ้ำ (Accuracy and Repeatability) พิจารณาระดับความแม่นยำและความสามารถในการทำซ้ำที่ต้องการเพื่อการควบคุมแรงดันที่แม่นยำ
  • สภาวะแวดล้อม (Environmental Conditions) ประเมินสภาพแวดล้อมในการทำงาน รวมถึงอุณหภูมิ ความชื้น การสั่นสะเทือน และการสัมผัสกับสารเคมีหรือสิ่งปนเปื้อนที่อาจเกิดขึ้น เพื่อเลือกสวิตช์ความดันที่มีการจัดอันดับด้านสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม
  • ข้อกำหนดด้านไฟฟ้า (Electrical Requirements) ตรวจสอบความเข้ากันได้ทางไฟฟ้าและข้อกำหนดด้านพลังงานเพื่อให้แน่ใจว่าสามารถทำงานร่วมกับระบบที่มีอยู่ได้อย่างราบรื่น
  • ค่าพิกัดเผื่อ (Tolerance) เป็นค่าที่มีความแตกต่างกันระหว่างค่าต่ำสุดและค่าสูงสุด สำหรับป้องกันความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยค่าที่วัดได้ ควรอยู่ระหว่างค่านี้ บวกหรือลบไม่เกินค่านี้เช่น +/- 0.2 นั่นหมายถึง ค่าที่วัดได้ เมื่อนำมาบวกหรือลบแล้วไม่ควรเกิน 0.2
TIPS ! การลดอุณหภูมิ เพื่อไม่ให้ปั๊มลมร้อนเกินไป

                                                   Tips การลดอุณหภูมิ เพื่อไม่ให้ปั๊มลม ร้อนเกินไป
   เมื่อปั๊มลมเริ่มทำงานมาถึงจุดหนึ่ง ตัวเครื่องจะมีความร้อนสะสม การระบายความร้อนให้ปั๊มลมเย็นลงอย่างเหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาประสิทธิภาพและช่วยยืดอายุการใช้งานของตัวเครื่องปั๊มลม ซึ่งโดยปกติวิธีการระบายความร้อนแบ่งเป็น 2 รูปแบบ คือ 
► Air Cooled : โดยจะให้อากาศผ่านเพื่อระบายความร้อนออกจากสารทำความเย็นหรือน้ำยาแอร์ ลักษณะเป็นท่อทองแดงรูปตัวยู สอดอยู่ในแผ่นครีบอลูมิเนียม เพื่อเพิ่มพื้นผิวในการถ่ายเทความร้อน แต่ปัจจุบันรูปแบบคอยล์ร้อนที่มีท่อทองแดงได้มีการพัฒนาขึ้น เป็นรูปแบบ คอยล์อลูมิเนียม ที่มีประสิทธิภาพการระบายความร้อนที่ดีขึ้น คอนเดนเซอร์แบบการระบายความร้อนด้วยอากาศ นิยมนำไปใช้ในปั๊มลมขนาดเล็ก
► Water Cooled : เป็นการระบายความร้อนโดยการใช้น้ำเป็นตัวกลางในการลดความร้อน น้ำจะดูดซับความร้อนและนำความร้อนออกไปช่วยรักษาอุณหภูมิการทำงานที่เหมาะสม วิธีการนี้มักใช้กับเครื่องปั๊มลมขนาดใหญ่ในโรงงานอุตสาหกรรม
.
Tips การลดอุณหภูมิ เพื่อไม่ให้ปั๊มลม ร้อนเกินไป

» วางอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม : การวางปั๊มลมในบริเวณที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก หลีกเลี่ยงการวางไว้ในพิ้นที่แคบ เนื่องจากเป็นการจำกัดการไหลเวียนของอากาศ นำไปสู่ความร้อนสูง
» การบำรุงรักษาเป็นประจำ : การหมั่นตรวจดูตัวกรองอากาศ ครีบระบายความร้อน และพัดลมระบายอากาศ ให้สะอาดปราศจากฝุ่นและสิ่งสกปรก ที่จะทำให้เกิดการอุดตันขึ้นสำหรับอุปกรณ์ดังกล่าว ที่จะส่งผลต่อการไหลเวียนของอากาศ นอกจากนี้ยังทำให้เครื่่องปั๊มลมทำงานหนักขึ้นและเกิดความร้อนสะสมได้ง่ายขึ้น
» เช็คอุณหภูมิโดยรอบภายในห้อง : การหมั่นตรวจเช็คอุณหภูมิห้องปั๊มลมไม่ควรเกิน 40C ํ และหลีกเลี่ยงการวางปั๊มลมไว้กลางแดดหรือใกล้กับแหล่งที่มีความร้อนโดยตรง
» การตรวจสอบระดับน้ำมัน : หากเครื่องปั๊มลมหล่อลื่นด้วยน้ำมัน ตรวจสอบให้แน่ใจว่าระดับน้ำมันอยู่ในช่วงที่กำหนดอย่างเหมาะสม (3/4 ของตาแมว) นั้นจะช่วยกระจายความร้อนที่เกิดขึ้นระหว่างการบีบอัดได้
» ใช้ Hood ดูดอากาศ : หากอุณหภูมิของห้องสูงเกินกว่า 40C ํ ควรใช้พัดลมหรือ Hood ดูดอากาศเพื่อช่วยในการกระจายความร้อนภายในห้องเครื่อง
» การหยุดพักเครื่องเป็นระยะ : สำหรับเครื่องปั๊มลมลูกสูบ ในระหว่างการใช้งานที่ยาวนาน ควรมีการหยุดพักเครื่องในระยะเวลาพอเหมาะ เพื่อป้องกันการสะสมของความร้อน และให้เวลากับการระบายความร้อน หรือหากมีเครื่องสำรองอาจเปิดสลับการใช้งานเพื่อไม่ให้เครื่องทำงานหนัก และเพื่อช่วยยืดอายุการใช้งานของตัวเครื่อง แถมไลน์ผลิตยังคงสามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่องอีกด้วย